เห็ดรวมมิตรนึ่งซีอิ๊ว![]() ราดน้ำซีอิ๊วสูตรเด็ดที่มีกลิ่นหอมของน้ำตาลทรายแดง ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้มีสรรพคุณ ป้องกันการปวดกระเพาะอาหาร แก้อาการคลื่นไส้และถ่ายเป็นเลือด นำไปนึ่งเพียงไม่กี่นาที ก็ได้เมนูเห็ดรวมมิตรนึ่งซีอิ๊ว อาหารเจจานเบา ๆ แต่ดีต่อสุขภาพสำหรับมื้อเย็นแล้ว เวลาเตรียม 20 นาที เวลาปรุง 10 นาที ส่วนผสมสำหรับ 2 ที่
การแปรรูปเห็ดนางฟ้า
2.การทำเห็ดสามรส เครื่องปรุง
เครื่องปรุง
5.การทำทอดมันเห็ดนางฟ้า เครื่องปรุง
เห็ดน่ารู้ |
|||||||
เห็ดนางฟ้าภูฏาน
เห็ดนางฟ้าภูฏาน เป็นเห็ดนางรมชนิดหนึ่งมีการนำเชื้อเห็ดมาจากราชอาณาจักรภูฏาน และมีการเพาะเลี้ยงทั่วประเทศยกเว้นฤดูหนาวทางภาคเหนือที่เห็ดไม่ออกดอก ลักษณะทั่วไป เห็ดนางฟ้าภูฏานเกิดเป็นกลุ่ม มีโคนเชื่อมติดกันกลุ่มละ 3 – 10 ดอก หมวกเห็ด รูปใบพาย หรือรูปพัด ผิวสีน้ำตาลอ่อนอมเทาหรือม่วงอ่อน ผิวเรียบ เนื้อหมวกสีขาว ด้านล่างมีครีบแคบและเรียวยาวลงไปจดก้านดอก ครีบสีขาว ก้านดอกอยู่ไม่กึ่งกลางดอกมักค่อนไปด้านใดด้านหนึ่ง ยาว 1 – 4 เซนติเมตร สีขาว โคนเรียวเล็ก ผิวเรียบแต่เป็นสันนูนและร่องเตี้ย ๆ ยาวตลอดก้านดอก เนื้อในก้านดอกสีขาวฟูนิ่ม สปอร์ สีขาว ผิวเรียบ ผนังบาง ขนาด 7-10 x 3-4 ไมโครเมตร ( อนงค์ จันทร์ศรีกุล.2542 : 23 ) แหล่งที่พบ เห็ดนางฟ้าเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นจากการเพาะเลี้ยง จากการสำรวจพบว่าอำเภอเนินสง่า มีเกษตรกรที่เพาะเห็ดนางฟ้าเป็นอาชีพอยู่ 1 ราย ที่ตำบลหนองฉิม มีก้อนเห็ดประมาณ 3,000 ก้อน และมีการเพาะเลี้ยงที่โรงเพาะเห็ดโรงเรียนเนินสง่าวิทยา ปัจจุบันนักเรียนสามารถเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเห็ดนางฟ้าเพื่อขยายพันธุ์ได้ แล้วนำมาเพาะเลี้ยงกับขี้เลื่อยไม้ยางพาราหรือฟางข้าวก็ได้ ในอดีตเห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม ชาวบ้านเพาะเลี้ยงโดยใช้ท่อนไม้เนื้ออ่อน แต่ปัจจุบันไม้หายากได้ใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราแทน ฤดูที่พบ เห็ดนางฟ้าเป็นเห็ดเมืองร้อนสามารถเพาะเลี้ยงได้ตลอดปี ยกเว้นฤดูหนาวถ้าอากาศหนาวมากเห็ดจะไม่ออกดอก ประโยชน์ เห็ดนางฟ้าเป็นเห็ดที่มีผู้นิยมนำมาบริโภคเนื่องจาก มีรสชาติดี ขนาดดอกใหญ่ ราคาไม่แพง เพาะเลี้ยงง่าย ตามธรรมชาติจะช่วยย่อยสลายกิ่งไม้ท่อนไม้ ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของดิน เห็ดนางฟ้ามีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับเห็ดนางรม เห็ดทั้งสองชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์ (family) เดียวกัน ชื่อ "เห็ดนางฟ้า" เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นในเมืองไทย คนไทยบางคนเรียกว่าเห็ดแขก เนื่องจากมีผู้พบเห็นเห็ดนี้ครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย พบขึ้นตามธรรมชาติบนตอไม้เนื้ออ่อนที่กำลังผุ ในแถบเมืองแจมมู (Jammu) บริเวณเชิงเขาหิมาลัย ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Pleurotus sajor-caju (Fr.) Singer เห็ด นางฟ้าถูกนำไปเลี้ยงในอาหารวุ้นเป็นครั้งแรกโดย Jandaik ในปี ค.ศ. 1947 ต่อมา Rangaswami และ Nadu แห่ง Agricultural University, Coimbattore ในอินเดียเป็นผู้นำเชื้อบริสุทธิ์ของเห็ดนางฟ้าเข้ามาฝากไว้ที่ American Type Culture Collection (ATCC) ในอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1975 ได้ทราบว่าประมาณปี ค.ศ. 1977 ทางกองวิจัยโรคพืช กรมวิชาการเกษตร เป็นผู้นำเชื้อจาก ATCC เข้ามาประเทศไทยเพื่อทดลองเพาะดู ปรากฏว่าสามารถเจริญได้ดี อีก สายพันธุ์หนึ่ง เป็นเห็ดที่มีผู้นำเข้ามาจากประเทศภูฐาน มาเผยแพร่แก่นักเพาะเห็ดไทย ได้มีการเรียกชื่อเห็ดนี้ว่า เห็ดนางฟ้าภูฐาน มีหลายสายพันธุ์ซึ่งชอบอุณหภูมิที่แตกต่างกัน บางพันธุ์ออกได้ดีในฤดูร้อน บ้างพันธุ์ออกได้ดีในฤดูหนาว เป็นที่นิยมมาเพาะเป็นการค้ากันมาก ลักษณะ ของดอกเห็ดนางฟ้า มีลักษณะคล้ายกับดอกเห็ดเป๋าฮื้อ และดอกเห็ดนางรม เมื่อเปรียบเทียบกับเห็ดเป๋าฮื้อ ดอกเห็ดนางฟ้าสีจะอ่อนกว่า และมีครีบอยู่ชิดกันมากกว่า เห็นนางฟ้าสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นนานได้หลายวัน เช่นเดียวกับเห็ดเป๋าฮื้อ เนื่องจากเห็ดชนิดนี้ไม่มีการย่อตัวเหมือนกับเห็ดนางรม ด้านบนของดอกจะมีสีนวลๆ ถึงสีน้ำตาลอ่อน ในอินเดียดอกเห็ดมีขนาดตั้งแต่ 5 - 14 เซ็นติเมตร และจะมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 30 - 120 กรัม เห็ดนางฟ้ามีรสอร่อย เวลานำไปปรุงอาหารจะมีกลิ่นชวนรับประทาน เห็ดชนิดนี้สามารถนำไปตากแห้ง เก็บไว้เป็นอาหารได้ เมื่อจะนำเห็ดมาปรุงอาหาร ก็นำไปแช่น้ำเห็ดจะคืนรูปเดิมได้ |
||||||||||
|
เห็ดนางรมฮังการี
"เห็ด นางรม" (Oyster Mushroom ) เป็นเห็ดที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางถิ่นประเทศแถบยุโรป เห็ดพวกนี้เจริญเติบโต ได้ดีในพวกไม้โอ๊ค (oak) ไม้เมเปิ้ล (maple) ไม้พืช (peach) ฯลฯ และสามารถเจริญเติบโตได้ทั่วไปในเขตอบอุ่น ต่อมาได้มีการนำเข้ามาทดลองเพาะเลี้ยงในประเทศไทย พบว่า เห็ดชนิดนี้สามารถปรับตัวและเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย จึงได้มีการเผยแพร่วิธีการเพาะเห็ดชนิดนี้จนเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป เห็ดนางรมจัดเป็นเห็ดที่ประชาชนนิยมรับประทานกันมาก ทั้งนี้เนื่องจากเห็ดนางรมมีลักษณะคล้ายเห็ดมะม่วง หรือเห็ดขอนขาวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนตอไม้ที่ผุพัง ประกอบกับเห็ดนางรมเป็นเห็ดที่มีสีขาวสะอาดมีคุณค่าทางอาหารสูงและมีรสชาติ หอมหวาน นอกจากนี้เนื้อของเห็ดนางรมยังไม่เหนียวมากเหมือนเห็ดมะม่วงหรือเห็ดขอนขาว ที่สำคัญคือ "เห็ดนางรม" มีสารบางอย่างที่มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคไม่แพ้เห็ดชนิดอื่นๆ จึงทำให้ประชาชนรู้จักเห็ดชนิดนี้เป็นอย่างดี เห็ด นางรม หรือOyster mushroom จัดได้ว่าเป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหารสูงโดยเฉพาะ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน ไม่แพ้เห็ดชนิดอื่นๆ นอกจากนี้เห็ดนางรมยังให้ปริมาณแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปแตสเซี่ยม และยังให้พลังงานค่อนข้างสูง เห็ดนางรม มีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 สูงกว่าเห็ดชนิดอื่นๆ และยังมีกรดโฟลิคสูงกว่าพืชผักและเนื้อสัตว์กรด พวกนี้ช่วยป้องกันรักษาโรคโลหิตจางได้ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และยังเหมาะต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเพราะเห็ดมีปริมาณของไขมันน้อยและมี ปริมาณโซเดียมต่ำ จึงเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจและโรคไตอักเสบ ประกอบกับเห็ดนางรมที่เพาะง่าย สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย จึงได้มีการเพาะเห็ดนี้กันอย่างแพร่หลาย |
||||||||||
|
คุณค่าทางโภชนาการ
คุณค่าอาหาร เห็ดนางรม 100 กรัม ให้พลังงาน 30 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย โปรตีน 2.1 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.8 กรัม แคลเซียม 4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 61 มิลลิกรัม เหล็ก 0.3 มิลลิกรัม ไนอะซิน 2.7 มิลลิกรัม วิตามินซี 21 มิลลิกรัม วิธีการเพาะ 1. ผสมวัสดุเพาะทั้งหมดเข้าด้วยกัน และทดสอบความชื้นให้พอเหมาะโดยจะมีความชื้นประมาณ 75 - 80% 2. บรรจุวัสดุเพาะลงในถุง ถ้าเป็นวัสดุเพาะเป็นขี้เลื่อยใช้ถุงขนาด 6.5x12.5 นิ้ว หนัก 800 - 1,000 กรัม ถ้าวัสดุเพาะเป็นฟางหมักควรใช้ถุงขนาด 7x13 นิ้ว แล้วอัดวัสดุให้แน่น แต่ละถุงจะมีน้ำหนักประมาณ ถ้าเป็นฟางหมัก 6-8 ขีด ถ้าเป็นขี้เลื่อยประมาณ 600 - 800 กรัม เสร็จแล้วใส่คอขวดรัดด้วยยางรัดปิดด้วยจุกสำลี 3. นำถุงก้อนเห็ดที่บรรจุแล้วไปนึ่งฆ่าเชื้อ โดยใช้หม้อนึ่ง 2 แบบ คือ 3.1 หม้อนึ่งฆ่าเชื้อแบบลูกทุ่ง หรือหม้อนึ่งไม่อัดความดัน โดยใช้ถัง 200 ลิตร บรรจุครั้งละ 100 ถุง นึ่งนาน 1.5-2 ชั่วโมง หรือหม้อนึ่งที่ประกอบด้วยเหล็กแผ่นเป็นรูปสี่เหลี่ยมบรรจุถุงได้ตั้งแต่ 500-5,000 ถุง โดยใช้ระยะเวลาในการนึ่งประมาณ 4-10 ชั่วโมง 3.2 การนึ่งแบบมีความดัน จะเป็นถังที่สามารถทนความร้อนสูงได้ 121 องศาเซลเซียส และมีความดันประมาณ 15 - 18 ปอนด์/ตารางนิ้ว ใช้เวลาในการนึ่งประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง
การปลูกเชื้อเห็ดลงถุง
เปิดจุกสำลีออกแล้วใช้ เชื้อเห็ดในเมล็ดธัญพืชหยอดลงไปประมาณ 20 เมล็ด แล้วปิดด้วยกระดาษนำไปบ่มให้เส้นใยเห็ดเดินต่อไป ระยะเวลาการบ่มเส้นใย เห็ดนางรมและนางฟ้าภูฐาน จะใช้เวลาประมาณ 25-30 วัน ส่วนเห็ดนางฟ้าและเห็ดเป๋าฮื้อ จะใช้เวลา ประมาณ 45 - 50 วัน
การเปิดดอก
เมื่อเส้นใยเห็ดเดินเต็ม ถุงหรือใช้เวลาในการบ่มได้ที่แล้ว นำถุงก้อนเชื้อเห็ดเข้าในโรงเรือนเปิดดอกและดึงกระดาษที่ปิดหน้าถุงออก เพิ่มความชื้นภายในโรงเรือนให้ได้ ประมาณ 80 - 85% โดยการฉีดพ่นน้ำ เป็นละอองฝอย วันละ 2 - 3 ครั้ง จากนั้นประมาณ 7 - 10 วัน ดอกเห็ดก็จะเริ่มออกและเก็บได้ ก่อนเก็บผลผลิต ควรงดการให้น้ำเพราะเห็ดจะเปียกชื้นไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
การเก็บเกี่ยว
ทำการดึงดอกเห็ดที่ออกจากหน้าถุงเมื่อโตเต็มที่อยู่ในระยะที่ ยังไม่บาน สังเกตจากขอบดอกเห็ดยังงุ้มอยู่ โดยดึงดอกเห็ดให้หลุดออกจากถุงทั้งกลุ่มไม่ให้เหลือโคนติดที่ถุง เพราะจะทำให้หน้าถุงเน่าทำให้มีเชื้อราอื่นหรือมีแมลงหวี่เข้าทำลาย |
||||
ประโยชน์ของเห็ดนานาชนิด
ชฎาพร นุชจังหรีด ภาควิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์
เห็ด
เป็นแหล่งอาหารโปรตีนจากธรรมชาติ
ที่มีวิวัฒนาการมาจากการประสานเส้นใยจำนวนมากของเชื้อราชั้นสูง
และถึงแม้เห็ดจะขาดกรดอะมิโนบางตัวไปบ้าง
แต่ในเรื่องของรสชาติและเนื้อสัมผัสนั้น
รับรองว่าเห็ดไม่เป็นรองใครในยุทธจักรอาหารอย่างแน่นอน
ที่สำคัญเห็ดยังให้คุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา
ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย
และช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน
อัลไซเมอร์ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน และความดันโลหิตสูง เป็นต้น
เห็ดจัดเป็นอาหารประเภทผักที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ และยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เมื่อเทียบกับผักอีกหลายชนิด อีกทั้งยังมีรสชาติและกลิ่นที่ชวนรับประทาน ซึ่งรสชาติที่โดดเด่นนี้ มาจากการที่เห็ดมีกรดอะมิโนกลูตามิคเป็นองค์ประกอบ โดยกรดอะมิโนตัวนี้จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นประสาทการรับรู้รสอาหารของลิ้นให้ ไวกว่าปกติ และทำให้มีรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์ นอกจากนี้เห็ดยังอุดมไปด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีรวม (ไรโบฟลาวิน) และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ในส่วนของเกลือแร่ เห็ดจัดเป็นแหล่งเกลือแร่ที่สำคัญ โดยมีเกลือแร่ต่างๆ เช่น ซิลิเนียม ทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โปแตสเซียม ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ สมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ ลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ และอัมพาต ส่วนทองแดง ทำหน้าที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของธาตุเหล็ก และที่สำคัญ เห็ดมีองค์ประกอบของพฤกษเคมีที่ชื่อว่า “โพลีแซคคาไรด์”(Polysaccharide) จะทำงานร่วมกับแมคโครฟากจ์ (macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์คุ้มกันขนาดใหญ่ที่ออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อและจะไป จับกับโพลีแซคคาไรด์ที่บริเวณกระเพาะอาหาร และนำไปส่งยังเซลล์คุ้มกันตัวอื่นๆ โดยจะช่วยกระตุ้นวงจรการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เสริมและช่วยเพิ่มปริมาณและประสิทธิภาพของเซลล์คุ้มกันธรรมชาติ ให้ทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมถึงพวกไวรัสและแบคทีเรียอื่นๆ ด้วย เห็ดที่มีปริมาณสารโพลีแซคคาไรด์สูง คือ เห็ดหอมหรือเห็ดชิตาเกะ เห็ดนางรม เห็ดหูช้าง และเห็ดกระดุม เป็นต้น และเห็ดอื่นๆ ที่นิยมนำมารับประทาน ได้แก่ เห็ดหลินจือ เห็ดฟาง เห็ดหูหนู เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดโคน และเห็ดเข็มทอง เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เห็ดเป็นยาได้อีกด้วย ซึ่งสรรพคุณทางยาของเห็ดมีมากมาย เช่น ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ตับ และระบบไหลเวียนของโลหิต เนื่องจากชาวจีนจัดเห็ดเป็นยาเย็น เพราะมีสรรพคุณช่วยลดไข้ เพิ่มพลังชีวิต ดับร้อนใน แก้ช้ำใน บำรุงร่างกาย ลดระดับน้ำตาล และคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ลดความดัน ขับปัสสาวะ ช่วยให้หายหงุดหงิด บำรุงเซลล์ประสาท รักษาอาการอัลไซเมอร์ และที่สำคัญ คือ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ประโยชน์ทางการแพทย์ของเห็ดชนิดต่างๆ มีดังนี้ 1. เห็ดหอม หรือเห็ดชิตาเกะเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็งด้วย และมีกรดอะมิโนถึง 21 ชนิด มีวิตามิน บี 1 บี 2 สูง พอๆ กับยีสต์ มีวิตามินดีสูงช่วยบำรุงกระดูกและมีปริมาณโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงกำลัง บรรเทาอาการไข้หวัด ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารต้นตำรับ “อมตะ” 2. เห็ดหูหนู เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรต สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวในผู้สูงอายุ ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายดีขึ้น รวมทั้งช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง เห็ดหูหนูขาว ช่วยบำรุงปอดและไต 3. เห็ดหลินจือ มีสารสำคัญ เบต้ากลูแคน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคความดันโลหิตสูง 4. เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง รูปร่างกลมมน คล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ ผิวเนื้อนวล มีให้เลือกทั้งแบบสดหรือบรรจุกระป๋อง มีบทบาทในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด โดยสารบางอย่างในเห็ดนี้ไปช่วยยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเตส (aromatase) ทำให้เกิดการยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนใน ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลงก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย 5. เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้ามีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนาและนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์ มากกว่า เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะ 6. เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันการติดเชื้อต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิตและเร่งการสมานแผล 7. เห็ดหลินจือ นอกจากใช้รับประทานแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์อีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย รวมทั้งกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส 8. เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาว หัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้ ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะ และลำไส้อักเสบเรื้อรัง 9. เห็ดโคน ช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิด แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ การทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่าน้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบาง ชนิด เช่น เชื้อไทฟอยด์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||
|
มหัศจรรย์น้ำเห็ด 5 อย่าง
|
||||
ว่า
กันว่าการที่ "เห็ด" เป็นอาหารมหัศจรรย์นั้น
มีสาเหตุมาจากฤดูการเกิดที่ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ
เพราะใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆ
ในขณะที่จำนวนผลิตผลที่ได้นั้นมากมายดาษดื่นเหลือเกิน
ถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกธรรมชาติ
พอใกล้เวลาก็มุดหายลงดิน เก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้ง
ปัจจุบัน
เห็ดที่เรานิยมรับประทานกันมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งแบบสด บรรจุกระป๋อง
หรือแม้แต่เห็ดตากแห้ง ซึ่งความนิยมในการรับประทานมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยรูปแบบ และรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักด้วยกัน
รวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติกันมากขึ้น
ก็ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วย
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้
ตัวอย่าง
เช่น ในประเทศจีนและญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นน้ำแกง น้ำชา
ยาบำรุงร่างกาย และยารักษาโรคต่างๆ มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดมากว่า 30
ปียืนยันว่าในเห็ดมีสารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ
ชนิดได้ด้วย
ด้วย
คุณประโยชน์มากมายจาก "เห็ด" ทำให้ สถานีฟาร์มเห็ด
พัฒนาการแปรรูปผลผลิตจากเห็ดมาทำเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ
โดยเครื่องดื่มดังกล่าวสกัดมาจากเห็ด 5 ชนิด ซึ่งได้แก่ เห็ดฟาง
เห็ดนางฟ้าภูฏาน และเห็ดนางรมฮังการี เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูหนูขาว
และผสมน้ำผึ้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ช่วยในเรื่องเป็นยาอายุวัฒนะ
เมื่อ
เห็ดทั้ง 5 รวมตัวกัน สกัดออกมาเป็นเครื่องดื่ม
เเน่นอนว่าก่อนหน้านั้นทุกคนเห็นว่าเห็ดเพียงชนิดเดียวก็สามารถให้ประโยชน์
แก่สุขภาพร่างการหลายด้านแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อของดีทั้ง 5
รวมตัวกันประโยชน์นานัปประการที่ผู้บริโภคจะได้รับนั้นย่อมเพิ่มขึ้นทวีคูณ
เราลองมาวิเคราะห์ถึงประโยชน์แต่ละด้านที่จะได้รับจากเห็ดกันเลยดีกว่า
นานาสารอาหารจากเห็ด
- โปรตีน เมื่อนำเห็ด 5 อย่างมารวมกันประกอบอาหารแล้ว จะได้โปรตีนจากเห็ดที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ โปรตีนจากเห็ดจะไปสร้างกรดอะมิโนที่บำรุงสมองปรับสมดุลของการสร้างเซลล์ใหม่ ในร่างกาย ต้านการเกิดมะเร็ง ขจัดสารพิษ - เห็ดเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริ มาณน้ำตาล และเกลือต่ำมาก แถมยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบีรวม ซีลีเนียม โปแตสเซียม และทองแดง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่ควรเลือกรับประทานเป็นประจำ - ซีลีเนียม เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากในเห็ดแล้วยังมีอยู่ในธัญพืชและเนื้อสัตว์ด้วย - โปแตสเซียม เป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ทาง FDA ของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่าการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของโปแตสเซียมจะ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันเลือดสูง และอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในเห็ดนั้นมีโปแตสเซียมสูง และโซเดียมต่ำ การรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง 1 จานจะให้โปแตสเซียมได้พอๆ กับส้มหรือมะเขือเทศลูกโตๆ เลยทีเดียว - วิตามินบีรวม ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้ว ยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้) ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่า เนื้อแดง ถั่วลิสง และอะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่า การรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์ - ทองแดง เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกัน เพื่อมาช่วยเสริมการทำงานของ ธาตุเหล็ก |
||||
ประโยชน์
มากมายดังที่กล่าวมา คงพอเป็นเครื่องการันตีคุณค่าและประโยชน์ของผลผลิต
จากเห็ด ในสถานีเห็ดของเราได้เป็นอย่างดีใช่ไหมละครับ นับจากนี้เป็นต้นไป
สถานีเห็ด ขอเป็นเพื่อนดูแลสุขภาพของคุณและคนที่คุณรัก ด้วยการมอบสิ่งดีดี
มีประโยชน์ให้แก่คุณตลอดไป
แล้วคุณล่ะครับ คิดได้หรือยังว่าจะเลือกรับประทานหรือชอบเห็ดชนิดไหน แต่ที่สำคัญ อย่าลืมเลือกสรรเห็ดปลอดสารพิษจาก "สถานีเห็ด" มาปรุงอาหารอร่อยๆ กันเป็นประจำน่ะครับ เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณเองและคนที่คุณรัก |
||||
ความรู้เกี่ยวกับเห็ดนางฟ้า (ภูฐาน)
เห็ดนางฟ้า
1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเห็ด
1.1
เห็ดเป็นราชั้นสูง เพราะมีวิวัฒนาการสูงกว่าราชนิดอื่น ๆ
และมีวงจรชีวิตที่สลับซับซ้อนกว่าเชื้อราทั่วไป
เริ่มจากสปอร์ซึ่งเป็นอวัยวะหรือส่วนที่สร้างเซลขยายพันธ์
เมื่อตกไปในสภาพแว้ดล้อมที่เหมาะสมจะงอกเป็นใยและกลุ่มใยรา
เจริญพัฒนาเป็นกลุ่มก้อน เกิดเป็นดอกเห็ดอยู่เหนือพื้นดิน บนต้นไม้ ขอนไม้
ซากพืช มูลสัตว์ ฯลฯ
เมื่อดอกเห็ดโตขึ้นก็จะสร้างสปอร์ซึ่งจะปลิวออกเป็นใยราและเป็นดอกเห็ดได้
อีก
1.2
เห็ดมีบทบาทในการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านกระบวนการย่อยสลายสิ่งตกค้างจากซากพืช
ซึ่งเป็นการลดปริมาณของเสียที่เกิดจากพืชและสัตว์โดยธรรมชาติ
ฉะนั้นการเพาะเห็ดจึงทำได้ง่ายเพราะสามารถนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเช่น
ขี้เลื่อย ฟางข้าว เปลือกมันสำปะหลัง ฯลฯ มาใช้ในการเพาะเห็ดได้
2. ชื่อและถิ่นกำเนิดของเห็ดนางฟ้า
“เห็ด
นางฟ้า” เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นในประเทศไทย คนไทยบางคนเรียกเห็ดนางฟ้าว่า
“เห็ดแขก” เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดแถบเทือกเขาหิมาลัย
กล่าวคือมีผู้พบเห็นครั้งแรกว่าเห็ดนี้ขึ้นตามธรรมชาติบนตอไม้เนื้ออ่อนที่
กำลังผุในแถบเมืองเจมมู (Jammu) บริเวณเชิงเขาหิมาลัย มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ
Pleurotus sajor-caju (Fr.) Singer และมีชื่อสามัญว่า Sajor-Caju Mush
room
3.
เห็ดนางฟ้าเป็นเห็ดในสกุลนางรมเช่นเดียวกันกับเห็ดเป๋าฮื้อ
ฉะนั้นลักษณะดอกเห็ดจึงคล้ายดอกเห็ดเป๋าฮื้อ
ด้านบนของดอกมีสีขาวนวลถึงสีน้ำตาลอ่อน หมวกดอกเนื้อแน่นสีคล้ำ
ก้านดอกสีขาวขนาดยาวไม่มีวงแหวนล้อมรอบ ครีบดอกสีขาวเส้นใยค้อนข้างละเอียด
เมื่อเปรียบเทียบกับเห็ดเป๋าฮื้อสีของเห็ดนางฟ้าจะอ่อนกว่า
กลีบดอกอยู่ชิดกันมากกว่า ในอินเดียมีขนาดตั้งแต่ 5 – 14 เซนติเมตร
และมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 30 -120 กรัม
ส่วนเห็ดนางฟ้าในประเทศไทยที่เพาะโดยโครงการส่งเสริมการค้าและการเพยแพร่
ความรู้ที่มูลนิธิปราณี โอสถานนท์ ให้ความสนับสนุนมีขนาด 13.5 เซนติเมตร
และมีหนัก 2 กรัม
4. ประวัติการเลี้ยงและการนำเห็ดนางฟ้าและเห็ดสายพันธ์อื่น ๆ เข้าประเทศไทย
4.1
เห็ดนางฟ้าถูกนำไปเลี้ยงในอาหารวุ้นในประเทศอินเดียเป็นครั้งแรกใน พ.ศ.
2496 หรือ 61 ปี มาแล้ว กองวิจัยโรคพืช
กรมวิชาการเกษตรเป็นผู้นำเชื้อมาทดลองในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ 2520
ผลการทดลองแสดงว่าเห็ดสามารถเติบโตได้ดี
4.2
นอกจากนั้นแล้วยังมีผู้นำเห็ดจากประเทศภูฐานเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยคือ
เห็ดนางฟ้าภูฐาน
ซึ่งมีหลายสายพันธ์และเป็นที่นิยมกันมากในการเพาะเห็ดเพื่อการค้า
5. สรรพคุณของเห็ดนางฟ้า
5.1 สรรพคุณทางยา : ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ลดไขมันในเส้นเลือด
5.2
คุณค่าทางอาหาร :
เห็ดรับประทานได้ทุกชนิดมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าพืชผักหลายชนิด เห็ดนางฟ้า
100 กรัม ให้พลังงาน 35 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยโปรตีน 23 กรัม ไขมัน 0.3
กรัม คาร์โบไฮเดรท 5.7 กรัม ในอะชิน 2.5 มิลลิกรัม
5.3
การใช้เห็ดนางฟ้าในการปรุงอาหาร : เห็ดนางฟ้ามีเนื้อแน่น รสหวานอร่อย
เวลานำไปปรุงอาหารมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ใช้ในการปรุงอาหารได้หลายชนิดเช่น
ชุบแป้งทอด ผัด ห่อหมก ยำ เมี้ยง แหนมสด ใส่ในต้มโค้งหรือต้มยำ
ทำเห็ดแดดเดียวและนำไปตากแห้งเก็บไว้เป็นอาหารได้ ฯลฯ
ขั้นตอนการเพาะเห็ดนางฟ้า
ขั้นตอนการเพาะเห็ดนางฟ้า
1. สร้างโรงเรือนเพาะเห็ด
1.1 ฝาและหลังคาของโรงเรือนสามารถมุงด้วยจาก หญ้าคา หรือกระเบื้อง ขอให้สามารถเก็บความชื้นได้ดีเป็นใช้ได้
1.2 พื้นที่โรงเรือนควรเป็นคอนกรีตหรือทราย ไม่ควรเป็นดินเพราะจะทำให้แฉะได้ภายหลัง มีประตูที่สามารถลำเลียงก้อนเชื้อเข้าออกได้สะดวก มีช่องระบายอากาศออกได้
1.3 ชั้นวางก้อนเชื้อนิยมทำด้วยไม้ไผ่รวก ประกอบเป็นรูปตัวเอหรือรูปสามเหลี่ยมทรงสูง
2. การปลูกเชื้อเห็ดลงถุง : เปิดจุกสำลีออกแล้วใช้เชื้อเห็ดในเมล็ดธัญพืชหยอดลงไปประมาณ 20 เมล็ดแล้วปิดด้วยกระดาษ นำไปบ่มให้เส้นใยเห็ดเดินต่อไป การบ่มเส้นใยจะใช้เวลา 25 – 30 วัน
3. การเปิดดอก: เมื่อเส้นใยเห็ดเดินเต็มถุงหรือใช้เวลาในการบ่มได้ดีแล้ว นำถุงก้อนเชื้อเห็ดเข้าไปในโรงเรือน เปิดดอกและดึงกระดาษหน้าถุงออก เพิ่มความชื้นภายในโรงเรือนให้ได้ในประมาณ 80 -85 โดยการฉีดพ่นน้ำเป็นละอองฝอยวันละ 2-3 ครั้ง จากนั้นประมาณ 7-10 วัน ดอกเห็ดจะเริ่มออกและเก็บได้ ก่อนเก็บผลผลิตควรงดการให้น้ำเพราะเห็ดจะเปียกชื้น
4. การเก็บเกี่ยว : ดึงดอกเห็ดที่ออกจากหน้าถุงเมื่อโตเต็มที่แต่อยู่ในระยะที่ยังไม่บาน สังเกตจากขอบดอกเห็ดที่ยังงุ้มอยู่ ดึงดอกเห็ดให้หลุดออกจากถุงทั้งกลุ่มไม่ให้เหลือโคนติดที่ถุง เพราะจะทำให้หน้าถุงเน่าและมีเชื้อราอื่นหรือแมลงอื่นเข้าทำลาย
ศัตรูของเห็ดนางฟ้าและวิธีกำจัด
ศัตรูของเห็ดนางฟ้าและวิธีกำจัด
1. หนูและแมลงสาบ : ทำลายตั้งแต่ระยะเชื้อและดอกเห็ด การกำจัดควรใช้ยาเบื่อหรือกาวดัก
2. ไร : จะระบาดเมื่อความชื้นต่ำ จึงไม่ควรปล่อยให้ความหมักหมมของก้อนเชื้อบริเวณโรงเพาะ การปราบควรเน้นเรื่องความสะอาดมากกว่าการใช้สารเคมี
3. แมลงหวี่ : ดอกเห็ดที่อายุมากจะมีแมลงวี่เข้ามาตอมและวางไขเป็นหนอนแล้วแพร่พันธุ์ ควรนำก้อนเชื้อชนิดนี้ออกจากโรงเพาะ
4. โรคจุดเหลือง: พบในเห็ดที่มีอายุมากที่ตกค้างในการเก็บหรือน้ำที่ใช้รดสกปรกโดยเฉพาะเมื่ออากาศร้อนจัด
5. ราเมือก : ลักษณะเป็นลายสีเหลือง มีกลิ่นคาวจัด ระบาดโดยสปอร์ ควรป้องกันโดยนำก้อนเชื้อที่หมดอายุและเศษวัสดุในเรือนเพาะออกอย่าให้เกิด การหมักหมม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น